นโยบายช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เห็นจะไม่มีอะไรปลุกกระแสพ่อค้าแม่ขายได้ดีเท่ากับเรื่องหนี้นอกระบบ โดยรัฐบาลมีวัตถุประสงค์จะนำหนี้นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบ ผลดีน่าจะตกอยู่กับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่หากินไปวันๆ แบบรับเงินสดกระเป๋าซ้าย จ่ายดอกเบี้ยกระเป๋าขวา
จริงๆแล้วนโยบายตัวนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ หากแต่เป็นโครงการที่รัฐบาลทักษิณก็เคยทำมาแล้วน่าจะใช้ชื่อโครงการว่า แปลงทรัพย์สินเป็นทุน ก็มุ่งกลุ่มแม่ค้ารายวัน ผมพอจะจำโฆษณาได้ว่า ใช้แม่ค้าส้มตำเป็นตัวเดินเรื่อง แล้วพอมีคนมาทวงดอกเบี้ยเงินกู้ ก็อัดยาดมเข้าสองรูจมูก เพิ่มครกมาเป็นสิบครก ตำทีเดียวพร้อมกัน พอนึกภาพกันออกไหมครับ
ส่วนเครื่องมือที่รัฐบาลทั้งสองใช้เป็นหลัก ก็คือ ธนาคารออมสิน นั่นล่ะครับ เพราะเงินเยอะ ไม่ค่อยได้ปล่อยกู้เท่าไหร่ เนื่องจากเป็นธนาคารในมือรัฐ จึงไม่ค่อยมีเซลมาวิ่งแข่งกันทำยอดเงินกู้ จะเน้นที่ให้ประชาชนนำเงินมาออมซะมากกว่า แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือ อาวุธหลักนักเสี่ยงโชค สลากออมสินครับ พอให้ได้ลุ้นกันทุกวันที่ 20 แต่เป็นที่น่าสังเกตก็คือ ทำไมไปออกรางวัลกันเองก็ไม่ทราบได้ ขนาดบางคนซื้อเลขติดกันใช้เงินเป็นล้าน เลขมันยังออกเลี่ยงหลบไปได้อย่างน่าใจหาย ก็พอได้ลุ้นน่ะครับ โชคไม่ดีเองแหละ ถ้าซื้อซักร้อยห้าสิบล้านก็มีโอกาสถูกมากกว่ารางวัลเลขท้ายสี่ตัว อิอิอิ
มาถึงนโยบายเงินกู้นอกระบบกันต่อ ผมตั้งข้อสังเกตที่มาของการเป็นหนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากผมนั้นคือหนึ่งในผู้ที่เคยได้ลิ้มรส ทั้งเป็นฝ่ายกู้และฝ่ายให้กู้ ผมก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลมาร์คเจ้าของนโยบายได้ศึกษามาก่อนหรือไม่ว่า ทำไมพ่อค้าแม่ค้ารู้อยู่แล้วว่าดอกเบี้ยแสนจะแพง แต่ดันไปกู้ ทั้งๆที่ถ้าทำการค้าก็จะมีธนาคารพาณิชย์มากมายพร้อมจะให้กู้ หรือถ้าจะให้ง่ายกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ ก็คือ NonBank ถ้านึกไม่ออกว่าคืออะไร ก็จะยกตัวอย่างให้นะครับได้ เฟิร์สช้อย (ค่ายจีอี) แคปิตอลโอเค (เมื่อก่อนค่ายชินฯแต่เด๊วนี้โดนเทคโอเว่อร์) อีออน (ญี่ปุ่น) แล้วก็พวกอีติ๋ม อีแป๋ว นั่นแหละมากู้ พวกดำเนินธุรกิจปล่อยเงินกู้บุคคลธรรมดา ไม่เกี่ยงว่าจะเอาไปใช้อะไร ถ้าหลุดจากเครื่องมือนี้ ก็ยังมีโรงรับจำนำ แต่อันนี้ต้องมีหลักทรัพย์หน่อยนะครับ แต่ก็รับทุกอย่างจริงๆครับ ไม่ว่าจะเป็นสากะบือ ยันเรือรบ (สำหรับสากะบือ นี่ ถ้าสากไม้ จะได้ราคาน้อยกว่าสากหิน ครับ) นอกจากนี้ยังมีอีกสารพัดแหล่ง อันได้แก่ ร้านเพชร ร้านทอง ก็ยังรับจำนำ โดยเลี่ยงเป็นใบฝาก ร้านมอไซค์ จำนำเล่ม หรือจะแบบในเชิงระดมทุนในระดับชุมชน ก็ตั้งวงแชร์ หวยทอง โอ๊ย!! เยอะแยะไปหมด แล้วมากู้ไอ้พวกโหดนี่ทำไม คำตอบน่ะเหรอครับ ก็ไอ้คำว่า เครดิตบูโร ตัวเดียวนี่แหระครับ
เครดิตบูโร เป็นประวัติการก่อหนี้และประวัติการชำระเงินของเราที่ไปทำไว้กับสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกกับสถาบันเครดิตบูโร หากเราไปก่อหนี้อะไรไว้ ก็จะมีการส่งประวัติไป แล้วมันก็เหมือนประวัติบาปเมื่อเราผ่อนช้า ทำให้การก่อหนี้ครั้งใหม่มีปัญหาถึงขั้นอาจกู้ไม่ผ่าน พอกู้ไม่ผ่าน ก็ต้องไล่สเตปมาที่ละสถาบันเลยครับ พอธนาคารปฏิเสธ ลองไป Nonbank ก็จะเจอปัญหาเดียวกันคือ เครดิตบูโร ทีนี้ก็ต้องสำรวจร่างกายดูว่าพอจะมีเฟอร์นิเจอร์อะไรเหลืออยู่บ้าง ถ้าพอมีเป็นทองหยองก็พอเอาไปจำนำได้ อ้อ! ความรู้ใหม่สำหรับผมก็คือ โน้ตบุ๊กก็จำนำได้ครับ แต่ต้องเป็นรุ่นใหม่เท่านั้น รุ่นเก่ามีปฏิเสธไม่รับอีกต่างหาก เคยถามว่าทำไมไม่รับ เค้าตอบง่ายมากคือ มันไม่มีโบร์ชัวร์แสดงราคาซื้อ และก็ไม่สามารถประเมินราคาได้ และแล้วเมื่อสถาบันการเงินทุกที่ตั้งแต่ง่ายไปหายากไม่สามารถจะกู้ได้ สุดท้ายเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆก็ต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบที่ว่านี่แหระครับ โดยมากจะมีพนักงานใส่หมวกกันน็อคมาทำหน้าที่ตั้งแต่เซลล์คนหาลูกค้า ทำสัญญา จนถึงฝ่ายเร่งรัดหนี้สิน และฝ่ายตามตื้บสำหรับหนี้เสีย
ทีนี้มาดูชีวิตลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คือ พวกแม่ค้านะครับ ว่าโอกาสในการก่อหนี้ในระบบสามารถทำได้หรือไม่ เริ่มจาก สมมติตัวละครคือ ป้าสมขายกล้วยแขก ในตลาดสด อยากไปกู้เงินจากธนาคาร สิ่งที่ธนาคารจะขอก็คือ Statement ครับ นั่นหมายถึงบัญชีกระแสรายวัน ว่ามีเงินเข้าเงินออกยอดประมาณเท่าไหร่ต่อเดือน น่าคิดนะครับ ว่า ถ้าป้าสมแกมีบัญชีกระแสรายวันจริงๆ มันจะตลกมั๊ย เพราะวันๆขายส้มตำ จะเปิดบัญชีเช็คไปหาสวรรค์วิมานอะไรให้เปลืองค่าเบิกถอน เพราะเช็คใบนึงก็ปาเข้าไป 15 บาทแล้ว แพงกว่าส้มตำจานเล็กอีก ทีนี้ถ้าไม่มีบัญชีกระแสรายวันก็ต้องขอดูสมุดเงินฝาก ว่ามีเงินฝากเข้าถอนออกเยอะมั๊ย คำถามที่ตามมาก็คือ สมุดออมทรัพย์แล้วไม่มีเงินออมเลยหรือ (ถามแปลก มีแล้วจะมากู้ทำไม ก็ใช้เงินออมมาลงทุนไม่ดีกว่ารึ) ท่านผู้อ่านลองเข้าไปนั่งที่ร้านขายส้มตำซักวันนึงดูนะครับ เอาแบบนั่งทั้งวันนะ จะเห็นได้เลยว่า แม่ค้าส้มตำไม่มีเวลาไปแบงค์หรอกครับ ครั้นพอปิดร้านแล้ว แบงค์ก็ปิดเหมือนกัน ซึ่งสมัยก่อนตอนผมอยู่ต่างจังหวัด จะมีธนาคารบางธนาคาร หนึ่งในนั้นเป็นธนาคารออมสินแน่นอน ที่จะส่งพนักงานมารับเงินฝากถึงที่ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นครับ ชีวิตแม่ค้าส้มตำก็เลยไม่ค่อยได้เดินบัญชีเงินฝากเข้าฝากออกเท่าไหร่หรอกครับ (ซึ่งประเด็นนี้ผมว่ารัฐบาลทักษิณ น่าจะทราบปัญหาได้ดีกว่า จึงได้มีโครงการแปลงสินทรัพย์ อันได้แก่ แผงขายส้มตำ หรือรถเข็นมาเป็นตัวค้ำประกันเงินกู้ ไม่ต้องมาดูที่บัญชีเงินฝาก ) ขั้นต่อมาก็ต้องขอดูเครดิตบูโร ว่าเคยไปกู้ใครมาบ้างรึป่าว ซึ่งในปัจจุบันก็มีการคิดคะแนนประเมินความสามารถลูกค้าที่ผมเองก็ไม่เข้าใจครับ คือ ลูกค้าที่ไม่เคยไปกู้ที่ไหนมาก่อน พูดง่ายๆคือประวัติเครดิตบูโร ใสสะอาด คำตอบคือ คะแนนการกู้เป็นศูนย์ ไม่สามารถให้กู้ได้ พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแบงค์เอกชน จากนั้นทางแบงค์ก็ต้องขอดูเอกสารทางทะเบียนธุรกิจการค้า ซึ่งไม่มีแม่ค้าส้มตำที่ไหนไปจดหรอก พอจะทราบเงื่อนไขการกู้ธนาคารบ้างหรือยังครับ ว่า แม่ค้าส้มตำนี่แทบไม่มีโอกาสในการเข้าถึงเลย
เมื่อหาข้อพิสูจน์ทางทะเบียนยาก ก็ต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานฝ่ายสินเชื่อของธนาคารครับ เป็นคนออกสำรวจ และแน่นอนครับ แม่ค้าส้มตำถือว่าเป็นรายย่อย ไม่คุ้มค่าเดินทางหรอกครับ ส่วนใหญ่ก็รอไปก่อนว่างแล้วจะไปดู เมื่อถามถึงระยะเวลาก็ยังไม่สามารถตอบได้ และทั้งหมดนี้ก็คือภาพกว้างๆแบบไม่เจาะลึกนะ ในการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบของแม่ค้าส้มตำ
ทีนี้มาดูในมุมของเงินกู้นอกระบบครับ มีเงื่อนไขเดียว ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มีบัตรประชาชนใบเดียว ก็ใช้ได้ ไม่ต้องเช็คเครดิตบูโร ไม่มีต้องมีคนค้ำ บริการถึงที่ มาเก็บทุกวัน ไม่ต้องเดือดร้อนเอาเงินไปเข้าที่แบงค์ เซ็นต์เอกสารการเป็นหนี้ปั๊บรับเงินวันรุ่งขึ้น เห็นมั๊ยครับ ขนาดเขียนบรรยายเงื่อนไขการกู้ ยังใช้จำนวนบรรทัดที่บรรยายผิดกันเยอะเลย แล้วจะไม่ให้ชาวบ้านเค้าไปใช้บริการได้ยังงัยละค๊าบบบบ
ทีนี้มาถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลเรื่องเอาหนี้นอกระบบมาใส่ในระบบ อันดับแรก ต้องไปลงทะเบียนก่อน ต่อมาก็ต้องมีเอกสารยืนยันการกู้ว่าเจ้าหนี้เป็นใคร แล้วที่สำคัญ ก่อนจะมีการประกาศว่าจะให้ลงทะเบียน ก็มีข่าวตำรวจไปกวาดล้างพวกเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ ออกมาแบบถี่ยิบ แล้วทีนี้ใครเค้าจะทำหลักฐานกันล่ะค๊าบคุณรัฐบาล ถึงทำก็ทำฝ่ายเดียว ไม่มีเอกสารในมือลูกหนี้หรอกค๊าบ แล้วยิ่งท่านออกข่าวกวาดล้างเนี่ย เจ้าหนี้ก็ยิ่งรีบเช็คบิลลูกหนี้ แหล่งเงินกู้มีเจ้าหนี้ตั้งหลายพันราย ท่านจับได้ไปแค่รายสองราย ที่เหลือเค้าเคลียร์บิลลูกหนี้เดือดร้อนกันหนักไปใหญ่ แล้วกว่ารัฐบาลจะดำเนินการให้เงินกู้ในระบบมาแทนหนี้นอกระบบได้ ก็ต้องนัดเจ้าหนี้มาเจรจาเพื่อปิดหนี้ แล้วเจ้าหนี้เค้าจะมามั๊ยล่ะครับ ดูเหมือนทุกขั้นตอนมันจะติดขัดไปซะหมด มันแสดงออกถึงว่า ก่อนกำหนดนโยบายได้มีการศึกษาข้อมูลเชิงลึกจริงๆกันหรือป่าว เพราะถ้าศึกษาจริงๆ คำตอบมันน่าจะออกมาในรูปที่ว่า เอาเข้าระบบแบบนี้ไม่ได้หรอก ต้องใช้วิธีอื่น เช่น ให้แปลงสินทรัพย์เป็นทุนเพื่อล้างหนี้เก่านอกระบบ แต่ไม่ได้จ่ายเงินให้กับแม่ค้า ให้ไปส่งมอบกันที่สำนักงานเขตจะดีกว่า จะได้เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยด้วย แล้วเชื่อเถอะครับว่าเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องแบบนี้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะไม่รู้ข้อมูลเชิงลึก นี่ก็เป็นแค่น้ำจิ้มในเรื่องนโยบายเงินกู้นอกระบบนะครับ ตอนนี้ที่ได้ข่าวแว่วๆกันมา ก็อีหร็อบเดิมครับ อยากกู้ในระบบโดยอาศัยนโยบาย ก็เลยผลัดกันเป็นเจ้าหนี้ เพื่อจะได้ไปกู้แบงค์ในระบบได้ ยังงัยเสียรัฐบาลก็น่าจะหาทางกันได้น่ะครับ เชื่อมือ เพราะไม่รู้จะไปเชื่อใครแล้วเนี่ย